สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 13-19 กันยายน 2564

 

ข้าว

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1 พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และงบประมาณ ดังนี้
2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย
3 มาตรการ ได้แก่
(1)โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 1.82 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวตันละ 8,600 บาทรวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่
เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรปีการผลิต 2563/64โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท
คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี
(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2563/64 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกร
ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน)นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร  เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท) ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ขอดำเนินการจ่ายเงินเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 500 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท ก่อนในเบื้องต้น
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,784 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,785 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.01
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 7,416 บาท ราคาลดลงจากตันละ 7,471 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.74
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 24,050 บาท ราคาลดลงจากตันละ 24,450 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.63
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,650 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 710 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23,200 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 713 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23,077 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.42 แต่เพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 123 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 399 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,038 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 404 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,076 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.24 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 38 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 399 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,038 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 407 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,173 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.96 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 135 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 32.6760 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
          ฟิลิปปินส์
          รัฐบาลได้จัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมข้าว (The Rice Competitiveness Enhancement Fund; RCEF) โดยจะนำรายได้จากการเก็บภาษีนำเข้าข้าวจำนวน 1 หมื่นล้านเปโซต่อปี มาจัดตั้งเป็นเวลา
6 ปี ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนชาวนาฟิลิปปินส์ให้สามารถแข่งขันกับข้าวที่นำเข้ามาจากต่างประเทศได้ โดยจะมีกองทุนช่วยเหลือชาวนา โครงการที่ดินทำการเกษตร โครงการประกันพืชผล และโครงการกระจายพันธุ์พืช เป็นต้น
          สำนักงานสถิติแห่งชาติ (the Philippine Statistics Agency; PSA) รายงานว่า สต็อกข้าว ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 มีจำนวนประมาณ 2.23 ล้านตัน ซึ่งเพียงพอสำหรับบริโภคประมาณ 70 วัน (คำนวณจากความต้องการบริโภควันละประมาณ 32,000 ตัน) น้อยกว่าระดับที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ 90 วัน โดยปริมาณสต็อกข้าวลดลงร้อยละ 11.8 เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2564 แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ทั้งนี้ สต็อกข้าวในคลังขององค์การอาหารแห่งชาติ (The National Food Authority; NFA) มีจำนวนประมาณ 0.21 ล้านตัน ลดลงประมาณร้อยละ 7.5
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (คิดเป็นร้อยละ 9.2 ของสต็อกข้าวทั้งหมด และเพียงพอสำหรับการบริโภคประมาณ 6 วัน) โดยสต็อกข้าวของ NFA ลดลงประมาณร้อยละ 8.6 เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2564
          ขณะที่ สต็อกในคลังของเอกชน (Commercial warehouses) มีจำนวน 1.042 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.9
(คิดเป็นร้อยละ 46.7 ของสต็อกข้าวทั้งหมด และเพียงพอสำหรับการบริโภคประมาณ 33 วัน) แต่ลดลงประมาณ
ร้อยละ 11.2 เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2564 ส่วนสต็อกในภาคครัวเรือน (Household stocks) มีจำนวน 0.99 ล้านตัน ลดลงประมาณร้อยละ 8.2 (คิดเป็นร้อยละ 44.1 ของสต็อกข้าวทั้งหมด และเพียงพอสำหรับการบริโภคประมาณ 31 วัน) และลดลงร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2564
          สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา รายงานว่า กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ (DA) เปิดเผย
ผลการศึกษาวิจัยของสถาบันวิจัยข้าวฟิลิปปินส์ (DA-PRRI) พบว่า ปัจจุบันมีชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากที่หันมาตระหนักถึงคุณประโยชน์ของข้าวที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low-Glycemic Index: GI) เช่น ข้าวกล้อง เนื่องจากสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ขณะที่การบริโภคข้าวขาวทั่วไปหรือข้าวที่มีค่า GI สูง พบว่า มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงของโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น โดยผลการสำรวจของสถาบันฯ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามชาวฟิลิปปินส์ร้อยละ 75 ระบุว่า ยังคงบริโภคข้าวขาวอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ระบุว่าให้ความสนใจต่อข้าว Low-GI
โดยครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดเต็มใจบริโภคข้าวกล้อง ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์ ที่ต้องการจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เนื่องจากเพื่อต้องการลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ซึ่งเป็น
1 ใน 5 โรค ที่เป็นสาเหตุให้เกิดการเสียชีวิตของชาวฟิลิปปินส์สูงสุดในแต่ละปี
          กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ (DA) เปิดเผยว่า ในอีก 12 ปี ฟิลิปปินส์จะประสบกับวิกฤตการณ์ขาดแคลนเกษตรกรชาวนา เนื่องจากการจ้างงานในภาคการเกษตรที่ลดลงและเกษตรกรชาวนาส่วนใหญ่สูงอายุ โดยจากผลการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ระบุว่า ปัจจุบันอายุเฉลี่ยของชาวนาฟิลิปปินส์อยู่ที่ 53 ปี
          นอกจากนี้ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์ (the Philippine Statistics Agency; PSA) ระบุว่า
ในปี 2561 จำนวนการจ้างงานชาวฟิลิปปินส์ในภาคเกษตรกรรมลดลงต่ำสุดในรอบ 24 ปี โดยมีจำนวนอยู่ที่ 9.99 ล้านคน แบ่งเป็นเพศชาย 7.75 ล้านคน และเพศหญิง 2.24 ล้านคน ทั้งนี้ ปัจจุบันกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ได้พยายามผลักดันให้หนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ ให้มาสนใจการพัฒนาการเกษตรและอนาคตของการเกษตรฟิลิปปินส์ให้มากขึ้น เพื่อป้องกันปัญหา
การขาดแคลนแรงงานภาคเกษตรในอนาคต
          ที่มา : Oryza.com และสานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา
          ญี่ปุ่น
          กระทรวงเกษตร ประมง และป่าไม้ (the Ministry of Agriculture, Fisheries and Forests; MAFF) ประกาศ
เปิดประมูลนำเข้าข้าวแบบ Minimum Access (MA) tender ของปีงบประมาณ 2564/65 (1 เมษายน 2564-31 มีนาคม 2565) ในวันที่ 17 กันยายน 2564 ซึ่งกำหนดจะซื้อข้าว รวมจำนวน 54,000 ตัน ประกอบด้วย
          1. ข้าวสารเมล็ดกลาง (Non-glutinous medium grain milled rice) จากสหรัฐฯ จำนวน 13,000 ตัน โดยกำหนดส่งมอบวันที่ 1 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2564
          2. ข้าวสารเมล็ดกลาง (Non-glutinous medium grain milled rice) จากสหรัฐฯ จำนวน 13,000 ตัน โดยกำหนดส่งมอบวันที่ 15 ตุลาคม – 30 พฤศจิกายน 2564
          3. ข้าวสารเมล็ดยาว (Non-glutinous long grain milled rice) จากประเทศใดก็ได้ (Global tender) จำนวน 7,000 ตัน โดยกำหนดส่งมอบวันที่ 1 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2564
          4. ข้าวสารเมล็ดยาว (Nonglutinous long grain milled rice) จากประเทศใดก็ได้ (Global tender) จำนวน 7,000 ตัน โดยกำหนดส่งมอบวันที่ 15 ตุลาคม – 30 พฤศจิกายน 2564
          5. ข้าวสารเมล็ดยาว (Non-glutinous long grain milled rice) จากประเทศใดก็ได้ (Global tender) จำนวน 7,000 ตัน โดยกำหนดส่งมอบวันที่ 15 ตุลาคม – 30 พฤศจิกายน 2564
          6. ข้าวสารเมล็ดยาว (Nonglutinous long grain milled rice) จากประเทศใดก็ได้ (Global tender) จำนวน 7,000 ตัน โดยกำหนดส่งมอบวันที่ 1 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2564
          โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตร ประมง และป่าไม้ (MAFF) ประกาศเปิดประมูลนำเข้าข้าวแบบSimultaneous Buy and Sell (SBS) tender ครั้งที่ 1 ของปีงบประมาณ 2564/65 (1 เมษายน 2564 - 31 มีนาคม 2565) ในวันที่ 24 กันยายน 2564 ซึ่งกำหนดจะซื้อข้าวจำนวน 25,000 ตัน ประกอบด้วย ข้าวกล้อง/ข้าวสาร (brown or milled rice) จำนวน 22,500 ตัน และข้าวหัก (broken milled rice) จำนวน 2,500 ตัน นอกจากนี้ กระทรวงเกษตร ประมง และป่าไม้ (MAFF) ยังได้ประกาศเปิดประมูลนำเข้าข้าวแบบ CPTPP Simultaneous Buy and Sell (SBS) tender ครั้งที่ 3 ของปีงบประมาณ 2564/65 (1 เมษายน 2564 – 31 มีนาคม 2565) ในวันที่ 28 กันยายน 2564 ซึ่งกำหนดจะซื้อข้าวจากประเทศสมาชิกกลุ่ม CPTPP จำนวน 1,040 ตัน
          ที่มา : Oryza.com และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

 


ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้

ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.99 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.76 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.96 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.60 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 6.27 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.26                     
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 11.20 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 10.74 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.28 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 10.67 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 10.31 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.49
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 349.00 ดอลลาร์สหรัฐ (11,404.00 บาท/ตัน) สูงขึ้นจากตันละ 337.00 ดอลลาร์สหรัฐ (10,904.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.56 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 500.00 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนธันวาคม 2564 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกัน ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 518.00 เซนต์ (6,752.00บาท/ตัน) สูงขึ้นจากบุชเชล 496.60 เซนต์ (6,414.11 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.31 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 337.89 บาท

 


มันสำปะหลัง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2564 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – กันยายน 2564) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.507 ล้านไร่ ผลผลิต 31.632 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 3.327 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.918 ล้านไร่ ผลผลิต 28.999 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.252 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.60 ร้อยละ 9.08 และร้อยละ 2.31 ตามลำดับ โดยเดือนกันยายน 2564 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 0.734 ล้านตัน (ร้อยละ 2.32 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2564 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2564 ปริมาณ 18.40 ล้านตัน (ร้อยละ 61.13 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงปลายฤดูการเก็บเกี่ยว ส่งผลให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย โดยผลผลิตมีคุณภาพต่ำเนื่องจากมีฝนตก ทั้งนี้หัวมันสำปะหลังส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่โรงงานแป้งมันสำปะหลัง
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.12 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 2.08 บาท ในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 1.92
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.70 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 6.69 บาท ในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 0.15
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ7.50 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 7.55 บาทในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 0.66
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 14.09 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 14.05 บาทในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 0.28
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 250 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,169 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (8,092 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 478 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,619 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (15,471 บาทต่อตัน)

 


ปาล์มน้ำมัน

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2564 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนกันยายนจะมีประมาณ 1.119 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.201 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.379 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.248 ล้านตัน ของเดือนสิงหาคม คิดเป็นร้อยละ 18.85 และร้อยละ 18.95 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 7.22 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 6.83 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 5.71
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 37.48 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 36.90 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.57
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มมาเลเซียลดลงติดต่อกันเป็นเวลาสามสัปดาห์ พบว่าราคาน้ำมันปาล์ม ส่งมอบเดือนธันวาคม (วันที่ 17 ก.ย. 64) อยู่ที่ตันละ 4,241 ริงกิต ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. 64 มาเลเซียส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.30 (วันที่ 1-15 ก.ย. 64) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในเดือนสิงหาคม และอินเดียนำเข้าน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการนำเข้าสูงสุดในรอบ 3 เดือน
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 4,541.45 ดอลลาร์มาเลเซีย (36.49 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 4,633.88 ดอลลาร์มาเลเซีย (36.96 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.99      
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,207.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (39.98 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,246.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ (40.89 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.11
หมายเหตุ  :  ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน

 


อ้อยและน้ำตาล
  1. สรุปภาวะการผลิต  การตลาดและราคาในประเทศ
           ไม่มีรายงาน
  1. สรุปภาวการณ์ผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
          -  สหพันธ์โรงงานน้ำตาลสหกรณ์แห่งชาติ (NFCSF) ของอินเดีย รายงานว่า การเก็บเกี่ยวของบราซิลอาจสิ้นสุดในต้นเดือนตุลาคม ซึ่งจะสร้างโอกาสที่ดีให้กับอินเดียในการกระตุ้นการส่งออก ในขณะที่โรงงานในอินเดียกำลังเตรียมผลิตน้ำตาลดิบซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้เช่นกัน  ด้านตัวแทนจำหน่ายรายงานว่าราคาหน้าโรงงานในประเทศกำลังเพิ่มขึ้น ท่ามกลางความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากรัฐเบงกอลตะวันตก
          -  การปลูกอ้อยในรัฐหลุยเซียนาของสหรัฐอเมริกา อาจลดลง 16-29% ในฤดูกาลนี้ เนื่องจากพายุเฮอริเคนไอด้า ซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งรัฐหลุยเซียนา (LSU) เผยประมาณการในรายงานล่าสุดของกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (USDA) ที่รายงานเมื่อวันที่ 10 กันยายน ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ กับการคาดการณ์ผลผลิตในรัฐหลุยเซียนา เนื่องจากยังรอการประเมินอยู่




 

 
ถั่วเหลือง

1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา 
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเท (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,284.64 เซนต์ (15.63 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 1,268.25 เซนต์ (15.29 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.29
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 340.10 ดอลลาร์สหรัฐฯ (11.26 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 338.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ (11.10 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.55
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 56.78 เซนต์ (41.45 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 56.74 เซนต์ (41.03 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.07


 

 
ยางพารา
 
 

 
ถั่วเขียว

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 28.93 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 6.67
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 24.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี        
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 950.00 ดอลลาร์สหรัฐ (31.04 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 957.75 ดอลลาร์สหรัฐ (31.00 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.81 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 857.40 ดอลลาร์สหรัฐ (28.02 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 864.25 ดอลลาร์สหรัฐ (27.97 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.79 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.05 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,196.80 ดอลลาร์สหรัฐ (39.11 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,206.50 ดอลลาร์สหรัฐ (39.05 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.80 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.06 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 765.00 ดอลลาร์สหรัฐ (25.00 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 771.00 ดอลลาร์สหรัฐ (24.95 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.78 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.05 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 943.80 ดอลลาร์สหรัฐ (30.84 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 951.50 ดอลลาร์สหรัฐ (30.80 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.81 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท


 

 
ถั่วลิสง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 40.45 ลดลงจากกิโลกรัมละ 41.58 บาท ในสับดาห์ก่อนร้อยละ 2.72
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.22 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 25.37 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.59
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 57.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 54.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน


 

 
ฝ้าย

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
    ราคาที่เกษตรกรขายได้
  ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
     ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
     ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนตุลาคม 2564 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 94.15 เซนต์ (กิโลกรัมละ 68.74 บาท) ลดลงจากปอนด์ละ 95.10 เซนต์ (กิโลกรัมละ 68.78 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.00 (ลดลงในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท)
 

 
ไหม

ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,837 บาท สูงขึ้นจาก กิโลกรัมละ 1,732 บาท คิดเป็นร้อยละ 6.06 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,615 บาท สูงขึ้นจาก กิโลกรัมละ 1,528 บาท คิดเป็นร้อยละ 5.67 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,043 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา


 

 
ปศุสัตว์
 
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
  
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลง เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาดมีมากกว่าความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ  66.95 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 67.73  คิดเป็นร้อยละ 1.15 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 65.36 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 69.98 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 66.58 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 65.60 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้  ตัวละ 1,600 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 66.50 ลดลงจากกิโลกรัมละ 67.30 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.80 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
 
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตที่ออกสู่ตลาดมีมากกว่าความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 32.83 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 34.43 บาทคิดเป็นร้อยละ 4.65 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 32.76 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 31.61 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 42.91 บาท ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 6.50 ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.50 บาท สูงขึ้นจาก กิโลกรัมละ 28.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 3.51 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
   
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดสอดรับกับต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ                                                                                                                 
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 297 บาท ลดลงจาก ร้อยฟองละ 298 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.55 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 308 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 292 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 296 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา  
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 335 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 354 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 375 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 367 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 328 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 350 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 335 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา 

โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
   
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 95.23 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 95.30 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.07 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 94.08 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 95.43 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 88.68 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 106.07 บาท

กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 77.05 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 77.19 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.18 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 87.83 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 74.97 บาท  ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน 
 
 
 

 
 

 
ประมง

สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 12 – 19 กันยายน 2564) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 78.06 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 78.86 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.80 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 125.53 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 120.82 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.71 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 119.17 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 120.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.83 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 71.05 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 78.57 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 7.52 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 150.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 180.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.56 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 6.61 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.05 บาท
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา